System Infrastructure
System Infrastructure
โครงสร้างระบบ ภายในองค์กร
System Infrastructure
System Infrastructure (โครงสร้างระบบ) เป็นส่วนสำคัญที่จำเป็นในการสร้างและรันระบบคอมพิวเตอร์และแอปพลิเคชันในองค์กร โดยรวมถ้าคำนึงถึงพื้นฐานและความเสถียรในการทำงานของระบบ เทคโนโลยีในส่วนนี้จะช่วยให้องค์กรมีความพร้อมในการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความเสถียรสูง โดยรวมถึงองค์ประกอบต่างๆ เช่น เซิร์ฟเวอร์ ระบบเครือข่าย เครื่องมือสำหรับจัดเก็บข้อมูล ระบบจัดการการเข้าถึงและความปลอดภัย เป็นต้น
ความสำคัญของ System Infrastructure :
- ส่วนสำคัญในการให้บริการ : System Infrastructure เป็นตัวเปิดทางในการให้บริการต่างๆ ในองค์กร อาทิเช่น การให้บริการเว็บไซต์ อีเมล สำหรับพื้นที่เก็บข้อมูล การจัดการระบบฐานข้อมูล และอื่นๆ ที่สำคัญในการทำธุรกิจ
- ความน่าเชื่อถือและความเสถียร : การสร้างระบบพื้นฐานที่มีความเสถียรและความน่าเชื่อถือสูงช่วยให้องค์กรมีความมั่นใจในการทำงานและรวมถึงสามารถให้บริการต่อลูกค้าได้โดยไม่มีปัญหา
- ความปลอดภัยของข้อมูล : การตั้งค่าระบบระเบียบที่ดีให้ความปลอดภัยในข้อมูล ทำให้สามารถป้องกันการเข้าถึงข้อมูลที่ไม่ได้รับอนุญาตและความเสียหายจากการโจมตี
- การเชื่อมต่อและระบบเครือข่าย : System Infrastructure เป็นส่วนสำคัญในการเชื่อมต่อและสร้างระบบเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้แต่ละอุปกรณ์และคอมพิวเตอร์สามารถสื่อสารและทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
วิธีการทำงานของ System Infrastructure :
- วางแผนและออกแบบ : การวางแผนและออกแบบ System Infrastructure เริ่มต้นด้วยการกำหนดความต้องการในองค์กร และทำการออกแบบระบบที่เหมาะสมกับความต้องการนั้นๆ
- การจัดหาอุปกรณ์ : หลังจากออกแบบ System Infrastructure เสร็จสิ้น ต่อมาคือการจัดหาอุปกรณ์ที่จำเป็นในการสร้างระบบเช่น คอมพิวเตอร์ เซิร์ฟเวอร์ สวิตช์ สายเคเบิล อุปกรณ์เก็บข้อมูล และอื่นๆ
- การติดตั้งและกำหนดค่า : นำอุปกรณ์ที่ได้รับมาติดตั้งและกำหนดค่าให้สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การทดสอบและปรับปรุง : หลังจากการติดตั้งและกำหนดค่า System Infrastructure เสร็จสิ้น ต่อมาคือขั้นตอนการทดสอบและปรับปรุงให้ได้ระบบที่มีประสิทธิภาพและตรงตามความต้องการขององค์กร
System Infrastructure เป็นส่วนสำคัญในการสร้างและรันระบบและแอปพลิเคชันในองค์กร หากคุณต้องการให้ระบบและการทำงานขององค์กรมีประสิทธิภาพและมีความพร้อม ควรให้ความสำคัญในการสร้าง System Infrastructure ที่เหมาะสมและเสถียรสูงสุดในองค์กรของคุณ
หากคุณลูกค้าต้องการความปลอดภัย มั่นคง สะดวก รวดเร็ว และบริการชั้นเลิศ Automation Service เป็นทางเลือกนั้นของคุณ! ด้วยประสบการ์ณการทำงานมากกว่า 40 ปี ทำให้เรามีทีมวิศวกรและทีมช่างผู้เชี่ยวชาญมากความสามารถ สามารถให้คำปรึกษา ออกแบบ ติดตั้ง และมอบองค์ความรู้ในด้านความปลอดภัยของ Security System(IT Security (Information Technology Security) ,OT Security (Operational Technology Security)), Data Center, Access Control System, Meeting System เป็นต้น
Servers & Storage
Servers & Storage (เซิร์ฟเวอร์และอุปกรณ์เก็บข้อมูล) เป็นส่วนสำคัญในโครงสร้างของระบบเครือข่ายในองค์กร ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการและบริหารจัดการเซิร์ฟเวอร์ (servers) และระบบการจัดเก็บข้อมูล (storage systems) ในองค์กร รวมถึงการให้บริการเว็บไซต์ อีเมล และแอปพลิเคชันต่างๆ ที่ใช้งานในองค์กร
ประเภทของ Servers
- Servers (เซิร์ฟเวอร์) : เป็นอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการให้บริการและดำเนินการตามคำขอข้อมูลจากผู้ใช้งานหรืออุปกรณ์อื่นๆ ในเครือข่าย ซึ่งสามารถมีหน้าที่หลากหลาย
- Web Server (เซิร์ฟเวอร์เว็บ) : ใช้ในการเก็บและส่งข้อมูลเว็บไซต์ผ่านโปรโตคอล HTTP ไปยังผู้ใช้งานผ่านเว็บเบราว์เซอร์ เช่น Apache HTTP Server, Nginx.
- File Server (เซิร์ฟเวอร์ไฟล์) : ใช้ในการจัดเก็บและแบ่งปันไฟล์ต่างๆ ให้ผู้ใช้งานในเครือข่ายเข้าถึงได้ เช่น Network Attached Storage (NAS).
- Mail Server (เซิร์ฟเวอร์อีเมล์) : ใช้ในการรับส่งอีเมล์ โดยมีซอฟต์แวร์เช่น Microsoft Exchange, Postfix.
- Application Server (เซิร์ฟเวอร์แอปพลิเคชัน) : ใช้ในการเก็บและดำเนินการกับแอปพลิเคชันเซิร์ฟเวอร์ เช่น Java EE Application Server (เช่น GlassFish, JBoss).
- Database Server (เซิร์ฟเวอร์ฐานข้อมูล) : ใช้ในการจัดเก็บและให้บริการในการเข้าถึงแก้ไขข้อมูล โดยมีซอฟต์แวร์ฐานข้อมูลเช่น MySQL, Oracle Database.
ประเภทของ Storage
- Storage (การจัดเก็บข้อมูล) : เป็นระบบการจัดเก็บข้อมูลที่ใช้ในการเก็บรักษาและจัดการข้อมูลที่สำคัญสำหรับองค์กร ซึ่งสามารถประกอบไปด้วยหลายเทคโนโลยี เช่น
- Storage Area Network (SAN) : เป็นระบบการเชื่อมต่อเกี่ยวข้องกับการจัดเก็บข้อมูลในระดับโครงข่าย ซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์และอุปกรณ์เก็บข้อมูลอื่นๆ ได้ เพื่อให้สามารถส่งข้อมูลแบบเร็วและปลอดภัยได้
- Network Attached Storage (NAS) : เป็นระบบการจัดเก็บข้อมูลที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายโดยตรง และให้บริการในการแบ่งปันข้อมูลแก่ผู้ใช้งานในเครือข่าย เช่นการแชร์ไฟล์
- Storage Arrays : เป็นระบบจัดเก็บข้อมูลที่มาพร้อมกับความสามารถในการจัดการและปรับแต่งทรัพยากรเกี่ยวกับการจัดเก็บข้อมูล รวมถึงคุณสมบัติที่มีประสิทธิภาพ เช่น RAID (Redundant Array of Independent Disks) ที่ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึงและความปลอดภัยของข้อมูล
ความสำคัญของ Servers & Storage :
- เก็บข้อมูลและให้บริการ : Servers & Storage เป็นส่วนสำคัญในการเก็บข้อมูลและให้บริการต่างๆ ที่มีความสำคัญในการทำงานขององค์กร อาทิเช่น เก็บข้อมูลลูกค้า ฐานข้อมูลสินค้า ให้บริการเว็บไซต์และอีเมล รวมถึงการให้บริการแอปพลิเคชันต่างๆ
- ความเสถียรและความน่าเชื่อถือ : Servers & Storage ที่มีคุณภาพเป็นสำคัญในการให้บริการในองค์กร ทำให้ระบบทำงานอย่างเสถียรและน่าเชื่อถือ ไม่มีปัญหาในการเก็บข้อมูลและให้บริการต่างๆ
- ประสิทธิภาพในการทำงาน : Servers & Storage ที่มีความเสถียรและความน่าเชื่อถือสามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพในการเก็บข้อมูลและให้บริการต่างๆ ทำให้องค์กรสามารถทำธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพและควบคู่กับความต้องการของลูกค้า
วิธีการทำงานของ Servers & Storage :
- เก็บข้อมูล : Servers & Storage ทำหน้าที่เก็บข้อมูลที่มีความสำคัญในองค์กร เช่น ฐานข้อมูลลูกค้า ข้อมูลการทำธุรกรรม และข้อมูลสินค้า
- การสำรองข้อมูล (Backup) : การสำรองข้อมูลเป็นการควบคุมความเสี่ยงในการสูญเสียข้อมูล โดยทำการสำรองข้อมูลไว้ในอุปกรณ์เก็บข้อมูล (Storage) เพื่อให้สามารถกู้คืนข้อมูลที่สำรองไว้ได้เมื่อมีการสูญเสียข้อมูลหรือเกิดภัยความเสียหาย
- ให้บริการแอปพลิเคชัน : Servers ทำหน้าที่ให้บริการแอปพลิเคชันต่างๆ ที่ใช้งานในองค์กร อาทิเช่น แอปพลิเคชันสำหรับการจัดการธุรกรรม แอปพลิเคชันสำหรับการจัดการสินค้า และอื่นๆ
- ให้บริการเว็บไซต์และอีเมล : Servers ทำหน้าที่ให้บริการเว็บไซต์และอีเมลให้กับผู้ใช้งาน ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงและสื่อสารผ่านเว็บไซต์และอีเมลได้อย่างรวดเร็ว
Servers & Storage เป็นส่วนสำคัญในโครงสร้างของระบบเครือข่ายในองค์กร การเลือกใช้งาน Servers & Storage ที่มีความเสถียรและความน่าเชื่อถือสูงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้องค์กรมีความพร้อมในการทำธุรกิจและให้บริการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและควบคู่กับความต้องการของตลาด
Virtualization
Virtualization คือเทคโนโลยีที่ช่วยสร้างสภาพแวดล้อมเสมือน (virtual environment) หรือเครื่องมือที่ใช้ในการสร้างและจำลองทรัพยากรคอมพิวเตอร์ (เช่น เซิร์ฟเวอร์, เครื่องคอมพิวเตอร์, ระบบปฏิบัติการ) และแยกส่วนออกจากฮาร์ดแวร์ที่เชื่อมต่อกัน ซึ่งทำให้สามารถรันหลายระบบปฏิบัติการหรือแอปพลิเคชันบนองค์กรเครือข่ายเดียวได้ โดยไม่ต้องมีการสร้างเครื่องจริงสำหรับแต่ละระบบเหล่านั้น
ความสำคัญของ Virtualization :
- ประหยัดทรัพยากร : ด้วยการใช้ Virtualization คอมพิวเตอร์หรือเซิร์ฟเวอร์สามารถใช้ทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงาน ลดค่าใช้จ่ายในการซื้อฮาร์ดแวร์และส่วนประกอบที่ไม่จำเป็น
- ควบคู่กับ Cloud Computing : Virtualization เป็นส่วนสำคัญในการสร้างพื้นที่คลาวด์ (Cloud) ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงและใช้งานแอปพลิเคชันและข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ตได้อย่างมีความสะดวกสบาย
- ความยืดหยุ่นในการจัดการ : ด้วย Virtualization ผู้ดูแลระบบสามารถสร้างและจัดการเซิร์ฟเวอร์ ระบบปฏิบัติการ และแอปพลิเคชันได้อย่างยืดหยุ่นและรวดเร็ว
วิธีการทำงานของ Virtualization:
- Hypervisor (Virtual Machine Monitor) : เป็นซอฟต์แวร์ที่ควบคุมการทำงานของ Virtual Machine (VM) และทำหน้าที่แบ่งทรัพยากรของคอมพิวเตอร์เช่น หน่วยประมวลผล หน่วยความจำ และอุปกรณ์อื่นๆ ให้กับ VM แต่ละเครื่อง
- Virtual Machine : เป็นส่วนที่ทำหน้าที่จำลองคอมพิวเตอร์หรือเซิร์ฟเวอร์ แต่ละเครื่องจะมีระบบปฏิบัติการแยกต่างหากซึ่งทำงานบน Hypervisor
- Emulation : เป็นกระบวนการที่ Hypervisor ใช้เพื่อทำให้ Virtual Machine สามารถใช้งานฮาร์ดแวร์หรืออุปกรณ์ที่ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของเครื่องเซิร์ฟเวอร์ ทำให้ Virtual Machine สามารถทำงานได้เหมือนกับเซิร์ฟเวอร์ที่มีฮาร์ดแวร์ที่ต้องการ
- Virtual Disk : เป็นการจำลองการทำงานของฮาร์ดดิสก์ในรูปแบบไฟล์ ซึ่ง Virtual Machine สามารถเข้าถึงและใช้งานได้เหมือนกับการใช้งานฮาร์ดดิสก์จริง
Virtualization เป็นเทคโนโลยีที่สำคัญในการประหยัดทรัพยากรและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินการในองค์กร การใช้งาน Virtualization ทำให้องค์กรมีความยืดหยุ่นในการจัดการและลดความเสี่ยงในการใช้งานคอมพิวเตอร์และเซิร์ฟเวอร์
Private & Hybrid Cloud
Private Cloud (คลาวด์ส่วนตัว) คือรูปแบบของคลาวด์คอมพิวเตอร์ที่สร้างขึ้นภายในองค์กรหรือองค์กรขนาดใหญ่ โดยมีการควบคุมและดูแลโดยเจ้าขององค์กรเอง ซึ่งสามารถใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ที่องค์กรครอบครองเพื่อให้บริการแก่ผู้ใช้งานภายในองค์กรนั้นเอง เป็นเหมือนศูนย์ข้อมูลภายในองค์กร การสร้างคลาวด์ส่วนตัวทำให้องค์กรสามารถควบคุมการปรับแต่งและรักษาความปลอดภัยของระบบเองได้ด้วยตนเอง
Hybrid Cloud (คลาวด์ผสม) คือรูปแบบของคลาวด์คอมพิวเตอร์ที่ผสมระหว่างองค์กรสาธารณะ (Public Cloud) และคลาวด์ส่วนตัว (Private Cloud) เข้าด้วยกัน ซึ่งองค์กรสามารถใช้งานและจัดการทรัพยากรคอมพิวเตอร์แบบคลาวด์ส่วนตัวในข้อมูลที่ละเอียดและเป็นความลับ ในขณะที่ใช้คลาวด์สาธารณะสำหรับงานที่ต้องการความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพสูงขึ้น เช่น การทำความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ของบริษัทในช่วงโปรโมชั่น การจัดการกับข้อมูลที่ต้องการความปลอดภัยสูง เป็นต้น
คลาวด์ส่วนตัว (Private Cloud) และคลาวด์แบบผสาน (Hybrid Cloud) เป็นสองรูปแบบของโครงสร้างคลาวด์ที่ควรให้คำนึงถึงในการปรับใช้เทคโนโลยีคลาวด์ในองค์กร ทั้งสองรูปแบบนี้มีลักษณะและความสามารถที่แตกต่างกัน ดังนั้น ในบทความนี้เราจะมาทำความรู้จักและเสนอข้อควรคำนึงในการใช้งานคลาวด์สองรูปแบบนี้ในองค์กร
ความสำคัญของคลาวด์ส่วนตัว (Private Cloud) :
- ควบคุมและความปลอดภัย : คลาวด์ส่วนตัวช่วยให้องค์กรมีควบคุมและความปลอดภัยที่สูงขึ้นต่อการเข้าถึงและใช้งานข้อมูลและแอปพลิเคชันที่สำคัญในองค์กร
- การปรับแต่ง : คลาวด์ส่วนตัวทำให้องค์กรสามารถปรับแต่งและปรับปรุงระบบตามความต้องการขององค์กรได้ ซึ่งเหมาะสำหรับองค์กรที่มีความต้องการเฉพาะเจาะจง
วิธีการทำงานของคลาวด์ส่วนตัว (Private Cloud) :
- การสร้างพื้นที่เก็บข้อมูล : คลาวด์ส่วนตัวมักใช้เทคโนโลยีการจำลองเพื่อสร้างพื้นที่เก็บข้อมูลเสมือน (Virtual Storage) เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงและจัดการข้อมูลได้ตามความต้องการ
- การจัดการทรัพยากร : คลาวด์ส่วนตัวมีระบบการจัดการทรัพยากรที่ให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกใช้ทรัพยากรต่างๆ ตามความต้องการของระบบและแอปพลิเคชัน
ความสำคัญของคลาวด์แบบผสาน (Hybrid Cloud) :
- ความยืดหยุ่นในการใช้งาน : คลาวด์แบบผสานช่วยให้องค์กรมีความยืดหยุ่นในการใช้งานทรัพยากรและปรับใช้ความต้องการของระบบได้อย่างสูงสุด
- การปรับตัวตามความต้องการ : คลาวด์แบบผสานช่วยให้องค์กรสามารถปรับตัวตามความต้องการในการใช้ทรัพยากรระหว่างคลาวด์ส่วนตัวและคลาวด์สาธารณะได้
วิธีการทำงานของคลาวด์แบบผสาน (Hybrid Cloud) :
- การใช้งานทรัพยากรของคลาวด์ส่วนตัว : องค์กรใช้งานคลาวด์ส่วนตัวเพื่อให้บริการกับงานที่เป็นความลับหรือเคราะห์ที่ต้องการความปลอดภัยสูง
- การใช้งานทรัพยากรของคลาวด์สาธารณะ : องค์กรใช้งานคลาวด์สาธารณะเพื่อให้บริการงานที่ต้องการปริมาณทรัพยากรมากขึ้นหรืองานที่ต้องการความยืดหยุ่นสูงขึ้น
- การเลือกใช้คลาวด์ส่วนตัวและคลาวด์แบบผสาน ในองค์กรมีข้อดีและข้อเสียขึ้นอยู่กับความต้องการและเป้าหมายขององค์กร การตัดสินใจในการใช้งานคลาวด์เหมาะสมนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จำเป็นต้องคิดให้ดีก่อนเข้าการใช้งาน
ข้อแตกต่างระหว่าง Private Cloud และ Hybrid Cloud :
- Private Cloud เป็นคลาวด์คอมพิวเตอร์ที่มีการควบคุมและดูแลโดยองค์กรเอง ซึ่งสามารถใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ที่องค์กรครอบครอง ส่วน Hybrid Cloud เป็นการผสมระหว่างคลาวด์ส่วนตัวและคลาวด์สาธารณะเข้าด้วยกัน ใช้งานทรัพยากรที่องค์กรครอบครองพร้อมทั้งใช้งานบริการจากผู้ให้บริการคลาวด์สาธารณะ
- Private Cloud เน้นความปลอดภัยและการควบคุมที่เข้มงวด เพราะสามารถควบคุมและดูแลโดยองค์กรเอง ในขณะที่ Hybrid Cloud ให้ความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพสูงขึ้น โดยสามารถใช้งานทรัพยากรคลาวด์สาธารณะเพิ่มเติมเมื่อจำเป็น
- Private Cloud เป็นขององค์กรเองเท่านั้น ซึ่งใช้ในการบริการภายในองค์กรนั้นเอง ในขณะที่ Hybrid Cloud สามารถใช้งานคลาวด์สาธารณะจากผู้ให้บริการคลาวด์ต่าง ๆ ที่อิสระออกไป
Backup & DR Site Solution
Backup & DR Site Solution (การสำรองข้อมูลและการตั้งค่าพื้นที่สำรองเมื่อเกิดภัยคุกคาม) เป็นเทคโนโลยีที่สำคัญในการทำความเข้าใจและควบคู่กับการเตรียมความพร้อมเพื่อต้านภัยและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับข้อมูลและระบบในองค์กร ซึ่งคือการพัฒนาและดำเนินการเพื่อรักษาข้อมูลที่มีความสำคัญและระบบการทำงานขององค์กรให้ปลอดภัย แม้ว่าจะเกิดภัยคุกคามหรือเหตุการณ์ที่ทำให้ระบบดับชั่วคราวหรือไม่สามารถใช้งานได้ โดยการสำรองข้อมูลนั้นเป็นกระบวนการที่ใช้เทคโนโลยีในการคัดลอกและเก็บข้อมูลไว้ในตัวเพื่อความเป็นอันตรายที่อาจเกิดขึ้น ในขณะที่ DR Site Solution เป็นกระบวนการที่องค์กรใช้เทคโนโลยีในการสร้างสถานที่สำรองความพร้อมเพื่อให้ระบบและข้อมูลสามารถกู้คืนได้ในกรณีที่เกิดภัยความเสียหายที่ส่งผลกระทบต่อศูนย์ข้อมูลหลักขององค์กร
- Backup Solution (การสำรองข้อมูล) : เป็นกระบวนการสำรองข้อมูลและจัดเก็บข้อมูลที่สำคัญเพื่อป้องกันการสูญหายหรือเสียหายของข้อมูล โดยปกติจะมีการสำรองข้อมูลไปยังอุปกรณ์เก็บข้อมูลที่แยกต่างหาก เช่น ดิสก์หรือเครื่องแม่ข่ายเครือข่าย หรือบริการคลาวด์ที่มีเนื้อที่เก็บข้อมูลเพียงพอ และมักจะมีการกำหนดระยะเวลาในการสำรองข้อมูลเป็นระยะเวลาที่สม่ำเสมอ อีกทั้งยังมีการทดสอบและการกู้คืนข้อมูลเพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลสามารถกู้คืนได้เมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน
- Disaster Recovery (DR) Solution (การตั้งค่าพื้นที่สำรองเมื่อเกิดภัยคุกคาม) : เป็นกระบวนการในการจัดการสถานการณ์ที่เกิดภัยคุกคามที่ส่งผลต่อการทำงานขององค์กร โดยมุ่งเน้นการกู้คืนระบบและข้อมูลให้กลับสู่สภาพปกติในระยะเวลาที่มีความเหมาะสม โดยมีการตั้งค่าพื้นที่สำรองหรือโครงสร้างที่ต่างกันอย่างน้อย 2 แห่ง เพื่อให้การทำงานขององค์กรสามารถดำเนินไปได้แม้ในกรณีที่เกิดภัยคุกคาม โดยมีการทดสอบและทดลองกู้คืนระบบเพื่อตรวจสอบความพร้อมในกรณีฉุกเฉิน
ความสำคัญของ Backup & DR Site Solution:
- ความเชื่อถือและความพร้อม : การสำรองข้อมูลและการสร้างสถานที่สำรองความพร้อมช่วยให้องค์กรมีความเชื่อถือในการรักษาความพร้อมของข้อมูลและระบบในกรณีที่เกิดภัยความเสียหาย
- ลดความเสียหายทางธุรกิจ : Backup & DR Site Solution ช่วยลดความเสียหายทางธุรกิจในกรณีที่เกิดภัยความเสียหายต่อระบบและข้อมูล
- ควบคุมความเสี่ยง : การสำรองข้อมูลและการสร้างสถานที่สำรองความพร้อมช่วยให้องค์กรควบคุมความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับข้อมูลและระบบ
. วิธีการทำงานของ Backup & DR Site Solution :
- การสำรองข้อมูล (Backup) : การสำรองข้อมูลเป็นกระบวนการที่ใช้เทคโนโลยีในการคัดลอกและเก็บข้อมูลที่สำคัญในตัวอื่นหรืออุปกรณ์เพื่อให้สามารถกู้คืนข้อมูลได้หากเกิดภัยความเสียหายกับข้อมูลหลัก
- การสร้างสถานที่สำรองความพร้อม (DR Site) : การสร้างสถานที่สำรองความพร้อมคือการสร้างสถานที่แยกต่างหากที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลเพื่อสำรองข้อมูลและระบบหลักขององค์กร ซึ่งเมื่อเกิดภัยความเสียหายสามารถเปิดใช้งานระบบและข้อมูลที่สำรองไว้ใน DR Site เพื่อให้ระบบสามารถทำงานต่อได้
- การทดสอบและทดลอง (Testing & Simulation) : เพื่อให้มั่นใจว่าการสำรองข้อมูลและการสร้างสถานที่สำรองความพร้อมทำงานได้ถูกต้องและประสิทธิภาพ องค์กรควรทดสอบและทำการจำลองข้อมูลและระบบใน DR Site เป็นประจำ
Backup & DR Site Solution เป็นเทคโนโลยีที่สำคัญในการประกอบการเตรียมความพร้อมและการต้านภัยความเสียหายในองค์กร การสำรองข้อมูลช่วยให้องค์กรมีความเชื่อถือในข้อมูลและระบบที่ใช้งาน ในขณะที่การสร้างสถานที่สำรองความพร้อมช่วยให้องค์กรสามารถกู้คืนระบบและข้อมูลได้ในกรณีที่เกิดภัยความเสียหายกับระบบหลักขององค์กร
Data Protection
Data Protection (การป้องกันข้อมูล) เป็นกระบวนการหรือเครื่องมือที่ใช้ในการรักษาความปลอดภัยและความเข้าถึงข้อมูลที่มีความสำคัญ ซึ่งเป็นข้อมูลที่องค์กรหรือบุคคลต้องการปกป้องจากการสูญหายหรือการเข้าถึงที่ไม่เหมาะสม
การป้องกันข้อมูลมีหลายด้านและขั้นตอนที่สำคัญ ดังนี้ :
- การสำรองข้อมูล (Data Backup) : เป็นกระบวนการสำรองข้อมูลที่สำคัญไปยังอุปกรณ์หรือสถานที่สำรอง เพื่อให้สามารถกู้คืนข้อมูลได้ในกรณีเกิดสูญหายหรือเหตุการณ์ฉุกเฉิน การสำรองข้อมูลควรจะเป็นกระบวนการที่เป็นประจำ และต้องมีการทดสอบการกู้คืนข้อมูลเพื่อยืนยันความพร้อม
- การเข้ารหัสข้อมูล (Data Encryption) : เป็นกระบวนการที่ใช้เทคนิคการเข้ารหัสเพื่อเปลี่ยนข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบที่ไม่สามารถอ่านได้ ผู้ไม่มีสิทธิ์ที่จะอ่านหรือเข้าถึงข้อมูลจะต้องมีกุญแจการถอดรหัสเพื่อเข้าถึงข้อมูล
- การควบคุมการเข้าถึง (Access Control) : เป็นการกำหนดสิทธิ์และการจัดการการเข้าถึงข้อมูลให้เหมาะสม แต่ละผู้ใช้งานจะมีสิทธิ์และการอนุญาตในการเข้าถึงข้อมูลตามบทบาทและความจำเป็น ซึ่งสามารถดำเนินการผ่านการตรวจสอบสิทธิ์การเข้าถึง รหัสผ่าน หรือการระบุตัวตนอื่นๆ
- การตรวจสอบและบันทึกข้อมูล (Monitoring and Logging) : เป็นกระบวนการตรวจสอบและบันทึกกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับข้อมูล เช่น การเข้าถึงข้อมูล การเปลี่ยนแปลงข้อมูล และกิจกรรมที่ส่งผลต่อความปลอดภัยของข้อมูล เพื่อให้สามารถตรวจสอบและติดตามการกระทำที่ไม่เหมาะสมหรือกิจกรรมที่เป็นอันตราย
ความสำคัญของ Data Protection :
- ความลับและความเชื่อถือ : การปกป้องข้อมูลช่วยให้ข้อมูลที่เป็นความลับและความเชื่อถือของลูกค้าและธุรกิจปลอดภัยจากการเข้าถึงและใช้งานโดยบุคคลที่ไม่ได้รับอนุญาต
- ป้องกันการขาดความน่าเชื่อถือ : การปกป้องข้อมูลช่วยป้องกันการขาดความน่าเชื่อถือที่อาจเกิดขึ้นเมื่อข้อมูลถูกส่งผิดพลาดหรือถูกเข้าถึงโดยผิดปกติ
- ตัวยุ่งยากในการกู้คืนข้อมูล : การปกป้องข้อมูลช่วยเพิ่มความยุ่งยากในกระบวนการกู้คืนข้อมูลของบุคคลที่ไม่ได้รับอนุญาต
วิธีการทำงานของ Data Protection :
- การเข้ารหัสข้อมูล (Data Encryption) : การใช้เทคโนโลยีการเข้ารหัสข้อมูลเพื่อป้องกันการเข้าถึงข้อมูลโดยบุคคลที่ไม่ได้รับอนุญาต แม้ว่าข้อมูลจะถูกเข้าถึงด้วยการโจมตีหรือสูญหาย
- การสำรองข้อมูล (Data Backup) : การสำรองข้อมูลเป็นกระบวนการที่คัดลอกและเก็บข้อมูลในตัวอื่นหรือสถานที่ที่ไม่ได้ใช้งาน ในกรณีที่ข้อมูลหลักเสียหายหรือถูกทำลาย องค์กรสามารถกู้คืนข้อมูลจากการสำรองข้อมูลได้
- การตรวจสอบและการตรวจสอบ (Monitoring & Auditing) : การตรวจสอบและตรวจสอบเป็นการติดตามและตรวจสอบกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับข้อมูล เพื่อตรวจสอบว่ามีการเข้าถึงข้อมูลที่ไม่ได้รับอนุญาตหรือเกิดเหตุการณ์ที่ควรสังเกต
- การเตือนเมื่อเกิดเหตุการณ์ (Alerting & Incident Response) : การตั้งค่าระบบเพื่อแจ้งเตือนเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการประมวลผลข้อมูลที่ไม่ตรงตามนโยบายหรือมีสัญญาณของภัยความเสียหาย
การปกป้องข้อมูลเป็นกระบวนการที่สำคัญในการรักษาความลับและความเชื่อถือของข้อมูลในองค์กร ในปัจจุบันที่มีอุตสาหกรรมการใช้งานอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีเสริมมากขึ้น การปกป้องข้อมูลยิ่งสำคัญเป็นอย่างยิ่งเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับข้อมูลและธุรกิจในองค์กร
Hyper-converged Infrastructure (HCI)
Hyper-converged Infrastructure (HCI) คือโครงสร้างพื้นฐานในการดำเนินงานของระบบคอมพิวเตอร์ที่รวมเทคโนโลยีพื้นฐานทั้งหมดที่จำเป็นสำหรับการทำงานของระบบเข้าไว้ในอุปกรณ์เดียวกัน โดยปกติ HCI ประกอบด้วย ระบบโครงสร้างที่รวมการจัดเก็บข้อมูล (Storage), การประมวลผล (Compute), และเครือข่าย (Networking) ทั้งหมดในเซิร์ฟเวอร์แค่เพียงเครื่องเดียว ทั้งนี้เพื่อให้สามารถปรับใช้และสร้างพื้นที่สำหรับการเก็บข้อมูลและการทำงานได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูง
คุณสมบัติที่สำคัญของ HCI ได้แก่ :
- เร็วและยืดหยุ่น : HCI มีความสามารถในการขยายขนาดและปรับใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์อย่างยืดหยุ่น โดยสามารถเพิ่มหรือลดจำนวนเซิร์ฟเวอร์หรืออุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลได้ตามความต้องการขององค์กร
- การจัดการทรัพยากรแบบศูนย์กลาง : HCI ใช้การควบคุมและจัดการทรัพยากรผ่านพื้นที่เดียวกัน ซึ่งทำให้ง่ายต่อการจัดการและควบคุมระบบในรูปแบบที่สะดวกและอัตโนมัติ
- ความยืดหยุ่นในการสร้างเครื่องจำลอง (Virtualization) : HCI มีความสามารถในการสร้างและดำเนินการเครื่องจำลอง (virtual machine) อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้สามารถใช้งานและจัดการเครื่องจำลองในองค์กรได้อย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพสูง
- ความคล้ายคลึงกันที่สูง : HCI มีสถาปัตยกรรมที่คล้ายคลึงกันทั้งในส่วนฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ทำให้การจัดการระบบและการดำเนินงานเป็นไปได้ง่ายและมีประสิทธิภาพสูง
- ความปลอดภัยสูง : HCI มีการใช้ระบบความปลอดภัยที่ให้ความคล้ายคลึงกันและเครื่องมือที่มีอยู่ในอุปกรณ์เดียวกัน เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลและทรัพยากรคอมพิวเตอร์จะได้รับการป้องกันอย่างเหมาะสม
วิธีการทำงานของ Hyper-converged Infrastructure (HCI) :
- การรวมระบบสำหรับจัดเก็บข้อมูล : HCI ใช้เทคโนโลยี Software-defined Storage เพื่อรวมระบบจัดเก็บข้อมูลและการสำรองข้อมูลไว้ในเครื่องเดียวกัน
- การจัดเก็บและการควบคุมการประมวลผล : HCI ใช้เซิร์ฟเวอร์ในรูปแบบของโนด (nodes) เพื่อทำหน้าที่ในการประมวลผลและจัดการทรัพยากรต่างๆ
- การสร้างคลัสเตอร์ : HCI สร้างคลัสเตอร์ที่รวมกันในรูปแบบ Hyperconverged ที่มีเซิร์ฟเวอร์หลายๆ เครื่องเข้าด้วยกัน ซึ่งในคลัสเตอร์นี้จะมีโครงสร้างการจัดเก็บข้อมูลและการประมวลผลที่รวมเข้าด้วยกัน
- การควบคุมโดยซอฟต์แวร์ : HCI ใช้ซอฟต์แวร์ที่ควบคุมการทำงานของคลัสเตอร์และให้ผู้ดูแลระบบสามารถจัดการทรัพยากรต่างๆ ในคลัสเตอร์ได้ทันที
HCI เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับองค์กรที่ต้องการระบบ IT ที่มีความยืดหยุ่นสูงและรวดเร็ว การรวมระบบสำหรับจัดเก็บข้อมูลและการประมวลผลในเซิร์ฟเวอร์เดียวกันทำให้ง่ายต่อการใช้งานและขยายขนาดในอนาคต
Virtual Desktop Infrastructure (VDI)
Virtual Desktop Infrastructure (VDI) คือโครงสร้างที่ใช้เทคโนโลยีเสมือนจริงในการสร้างและจัดการเครื่องคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อปสำหรับผู้ใช้งาน โดย VDI ทำหน้าที่ให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงและทำงานบนเครื่องคอมพิวเตอร์เสมือน (Virtual Desktop) ที่เป็นส่วนหนึ่งของเซิร์ฟเวอร์ที่ถูกสร้างขึ้นเป็นจำนวนมากใน VDI เครื่องคอมพิวเตอร์เสมือนถูกสร้างขึ้นและเก็บไว้ในเซิร์ฟเวอร์ของศูนย์ข้อมูลหรือซีริตีสำรอง ผู้ใช้สามารถเข้าถึงเครื่องคอมพิวเตอร์ เสมือนผ่านทางอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับเครือข่าย เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนตัว, แท็บเล็ต, หรืออุปกรณ์ที่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
คุณสมบัติและประโยชน์ของ VDI ได้แก่ :
- การเข้าถึงและทำงานทุกที่ทุกเวลา : ผู้ใช้สามารถเข้าถึงเครื่องคอมพิวเตอร์เสมือนและทำงานบน VDI ได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่ว่าจะอยู่ที่บ้าน, ที่ทำงาน, หรือที่อื่นๆ ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถทำงานได้อย่างยืดหยุ่นและไม่ต้องขึ้นอยู่กับเครื่องคอมพิวเตอร์เฉพาะ
- ความปลอดภัยข้อมูล : ข้อมูลและแอปพลิเคชันที่ใช้งานบน VDI จัดเก็บและรักษาอยู่ในเซิร์ฟเวอร์ที่ควบคุมและปกป้องอย่างเข้มงวด ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการสูญหายข้อมูลหรือการเข้าถึงข้อมูลที่ไม่เหมาะสม
- การจัดการทรัพยากรที่มีประสิทธิภาพ : ทรัพยากรของเซิร์ฟเวอร์ VDI สามารถจัดการและใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถแบ่งปันทรัพยากรร่วมกันระหว่างผู้ใช้งานหลายคน ทำให้ประหยัดทรัพยากรฮาร์ดแวร์และลดค่าใช้จ่ายในด้านซอฟต์แวร์และบำรุงรักษา
- ความยืดหยุ่นในการจัดการ : VDI ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถจัดการและปรับแต่งเครื่องคอมพิวเตอร์เสมือนในเซิร์ฟเวอร์ได้อย่างง่ายดาย รวมถึงการเพิ่มหรือลดจำนวนเครื่องคอมพิวเตอร์เสมือนตามความต้องการ
- การแบ่งปันข้อมูล : ผู้ใช้งานสามารถแชร์ข้อมูลระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์เสมือนได้ในรูปแบบที่สะดวกและง่าย ช่วยให้การทำงานร่วมกันระหว่างทีมงานหรือสองผู้ใช้งานขึ้นไปเป็นไปได้
ความสำคัญของ Virtual Desktop Infrastructure (VDI) :
- ควบคุมทรัพยากร : ด้วย VDI องค์กรสามารถควบคุมทรัพยากรของเครื่องคอมพิวเตอร์และสำหรับข้อมูลได้ตามความเหมาะสม และลดการใช้งานของอุปกรณ์สำหรับส่วนบุคคล
- ความปลอดภัย : ข้อมูลและแอปพลิเคชันทั้งหมดถูกเก็บรักษาบนเซิร์ฟเวอร์ที่ประหยัดทรัพยากรและปลอดภัย ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการสูญหายหรือโจมตีข้อมูล
- ความยืดหยุ่น : VDI ช่วยให้องค์กรมีความยืดหยุ่นในการทำงานและการจัดการทรัพยากรให้กับพนักงาน สามารถเข้าถึงเครื่องคอมพิวเตอร์และแอปพลิเคชันที่ต้องการได้ทุกที่และทุกเวลา
วิธีการทำงานของ Virtual Desktop Infrastructure (VDI) :
- การสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์เสมือน : ใน VDI มีการสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์เสมือนในเซิร์ฟเวอร์ขององค์กร ที่ทำหน้าที่ในการสร้างระบบปฏิบัติการและแอปพลิเคชันที่ควบคุมด้วยซอฟต์แวร์เสมือน
- การตรวจสอบและสำหรับข้อมูล : ข้อมูลทั้งหมดใน VDI จัดเก็บบนเซิร์ฟเวอร์ที่ได้รับการสำรองข้อมูลและรักษาความปลอดภัย เมื่อผู้ใช้เข้าถึง VDI ข้อมูลนั้นจะถูกโหลดมาจากเซิร์ฟเวอร์
- การเชื่อมต่อและการใช้งาน : ผู้ใช้สามารถเข้าถึง VDI ได้ผ่านอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต เมื่อเข้าถึง VDI ผู้ใช้สามารถเริ่มต้นการทำงานและใช้งานแอปพลิเคชันเหมือนกับเครื่องคอมพิวเตอร์ปกติ
- การจัดการและควบคุม : ผู้ดูแลระบบสามารถจัดการและควบคุมการใช้งาน VDI โดยใช้ซอฟต์แวร์จัดการและควบคุมทรัพยากร ตรวจสอบสถานะและการดูแลระบบอย่างต่อเนื่อง
VDI เป็นเทคโนโลยีที่ให้ประโยชน์ให้กับองค์กรและพนักงาน ทำให้การใช้งานระบบคอมพิวเตอร์สะดวกยืดหยุ่น ประหยัดทรัพยากร และมีระดับความปลอดภัยที่สูงขึ้น
Automation Service
บริษัทผู้เชี่ยวชาญด้าน System Infrastructure ซึ่งให้คำปรึกษา ติดตั้งและบริการหลังการขายที่ดีที่สุดอันดับต้นๆ ของประเทศไทย เรามีทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ และทีมเซอร์วิส มากประสบการ์ณกว่า 20 ปี ฉะนั้นสามารถมั่นใจได้ หากซื้อบริการของเรา คุณจะได้บริการที่ดีที่สุดอย่างแน่นอน
ให้คำปรึกษา
ตอบสนองความต้องการของลูกค้าและให้คำแนะนำและคำปรึกษาระบบไอที IT Solution
ออกแบบ
ออกแบบและวางระบบไอที IT Solution และ IT Security ด้วยทีมงานด้านเทคนิคชำนาญการ
ติดตั้ง
ดำเนินการติดตั้งโดยทีมงานมืออาชีพที่ผ่านการอบรมณ์และเข้าใจในตัว Hardware ระบบ IT เป็นอย่างดี
บริการหลังการขาย
ติดตามและดูแลการทำงานพร้อมเทรนนิ่งการใช้งานระบบ IT
Products & Solution
- Firewall
- Access Point
- Campus Switches
- Data Center Switches
- Server
- Network Cabling
- Servers & Storage
- Virtualization
- Private & Hybrid Cloud
- Backup & DR Site Solution
- Data Protection
- Hyper-converged Infrastructure (HCI)
- Virtual Desktop Infrastructure (VDI)
- Next Gen Firewall
- VPN Solution
- Web Application Firewall
- End Point Security
- Anti Virus
- Smart Secure & PDPA
Why Automation Service?
หากคุณลูกค้าต้องการความปลอดภัย มั่นคง สะดวก รวดเร็ว และบริการชั้นเลิศ Automation Service เป็นทางเลือกนั้นของคุณ! ด้วยประสบการณ์การทำงานมากกว่า 40 ปี ทำให้เรามีทีมวิศวกรและทีมช่างผู้เชี่ยวชาญมากความสามารถ สามารถ ให้คำปรึกษา ออกแบบ ติดตั้ง และมอบองค์ความรู้ในด้านความปลอดภัยของ Security System ( IT Security (Information Technology Security) ,OT Security (Operational Technology Security) ), Data Center, Access Control System, Meeting System เป็นต้น
More than 45 Years Experience
ทีมงานมืออาชีพประสบการณ์กว่า 45 ปี
ด้วยประสบการณ์ในการให้บริการลูกค้าอย่างเอาใจใส่มาโดยตลอด พร้อมด้วยทีมงานที่มีความรู้ ความสามารถ มีทัศนคติที่ดีในการทำงานและแก้ปัญหา ทำให้บริษัทเป็นที่ยอมรับและได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าในวงการอุตสาหกรรม โรงงานหน่วยงานรัฐและบริษัทเอกชนชั้นนำมากมาย มากกว่า 45 ปี และเราจะไม่หยุดยั้งที่จะพัฒนาเพื่อที่จะได้มอบบริการที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้าที่มีค่าของเราตลอดไป
Design by Experienced Professionals
ออกแบบโดยวิศวกรมืออาชีพ
เรามีทีมวิศวกรที่มีความรู้และความชำนาญ การออกแบบระบบต่างๆไว้บริการ ให้คำปรึกษาแนะนำ สำรวจหน้างานและประเมินค่าใช้จ่ายเบื้องต้น เพื่อตอบโจทย์ความต้องการสูงสุดของลูกค้า และเหมาะสมกับงบประมาณที่กำหนดไว้
After Sales Service
รับประกันงานติดตั้ง
พร้อมทีมงานบริการหลังการขาย
เรามีทีมวิศวกรที่มีความรู้และความชำนาญ การออกแบบระบบต่างๆไว้บริการ ให้คำปรึกษาแนะนำ สำรวจหน้างานและประเมินค่าใช้จ่ายเบื้องต้น เพื่อตอบโจทย์ความต้องการสูงสุดของลูกค้า และเหมาะสมกับงบประมาณที่กำหนดไว้
Trusted Brand Quality
ตัวแทนจำหน่ายจากแบรนด์ชั้นนำ Authorized Dealer
เราเป็นตัวแทนจัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการของหลากหลายแบรนด์ชั้นนำ พร้อมทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญ ให้คำปรึกษา แนะนำ ออกแบบและคัดเลือกอุปกรณ์ให้เหมาะสมกับความต้องการในการใช้งานและการบริหารงบประมาณของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
CONTACT US
ส่งข้อความถึงเรา