CEMS กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ภายใต้การกำกับดูแลของ กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.)

CEMS และ กรมโรงงาน ฯ

ปัจจุบัน มีกฎหมายที่กำหนดให้โรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่หลายประเภทต้องติดตั้งระบบ CEMS เพื่อควบคุมมลพิษทางอากาศ โดยประกาศล่าสุดได้บังคับใช้ทั่วประเทศ ครอบคลุมโรงงานประเภทที่ปล่อยมลพิษสูง เช่น โรงไฟฟ้า โรงปูนซีเมนต์ โรงเหล็ก โรงงานกระดาษ โรงกลั่นน้ำมัน เตาเผาขยะ และหม้อน้ำขนาดใหญ่

โดยระบบ CEMS ที่ติดตั้งในโรงงานอุตสาหกรรมจะต้อง เชื่อมโยงข้อมูลแบบเรียลไทม์เข้าสู่ศูนย์ข้อมูลของกรมโรงงานฯ ผ่านระบบออนไลน์กลางที่ชื่อว่า Pollution Online Monitoring System (POMS) ข้อมูลเหล่านี้ใช้สำหรับตรวจสอบ ติดตาม และวิเคราะห์ค่ามลพิษอย่างต่อเนื่อง หากมีการปล่อยเกินค่ามาตรฐาน เจ้าหน้าที่สามารถแจ้งเตือนโรงงานและดำเนินการแก้ไขได้ทันที

กฎหมาย และข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องกับ CEMS

กระทรวงอุตสาหกรรมได้ออกประกาศ กระทรวงอุตสาหกรรม พ.ศ. 2565 กำหนดให้โรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ 13 ประเภท ที่มีการระบายมลพิษทางอากาศจากปล่อง (รวมกว่า 600 โรงงานทั่วประเทศ) ต้องติดตั้งระบบ CEMS เพื่อตรวจสอบการระบายมลพิษและเชื่อมโยงข้อมูลเข้าสู่กรมโรงงานอุตสาหกรรม

กฎหมายฉบับนี้ลงนาม และประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อ 10 มิถุนายน 2565 และให้ระยะเวลา 365 วันก่อนมีผลบังคับใช้ กล่าวคือมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 10 มิถุนายน 2566 เป็นต้นไป โดยโรงงานที่ขออนุญาตตั้งใหม่ต้องติดตั้ง CEMs ให้เสร็จก่อนเปิดดำเนินการ ส่วนโรงงานเดิมที่เข้าข่ายต้องติดตั้ง จะต้องดำเนินการติดตั้งให้เรียบร้อยภายในวันที่ 9 มิถุนายน 2567
(ปัจจุบันบางประเภทโรงงานได้รับขยายเวลาถึงกลางปี 2568 ตามมติที่เกี่ยวข้อง)

มาตรฐาน และข้อกำหนดการติดตั้ง CEMs

ระบบ CEMS ต้องวัดมลพิษตามที่กฎหมายกำหนด เช่น ฝุ่นละออง ความทึบแสงของควัน ก๊าซ SO₂, NOx, CO, O₂ รวมถึงพารามิเตอร์อื่น ๆ ตามประเภทของโรงงาน

มาตรฐานการวัดมลพิษในประเทศไทย

โรงงานที่ติดตั้ง CEMs จะต้องวัดมลพิษทางอากาศตาม มาตรฐานควบคุมการระบายมลพิษ ที่กฎหมายกำหนด ซึ่งแบ่งตามประเภทโรงงานและชนิดเชื้อเพลิงที่ใช้ โดยทั่วไปมลสารสำคัญที่ต้องตรวจวัดประกอบด้วย

  • ค่าความทึบแสง (Opacity) ของควันหรือไอเสีย (หน่วยเป็นร้อยละ หรือกำหนดทางอ้อมผ่านปริมาณฝุ่น)
  • ค่าฝุ่นละออง (Particulate) หน่วยเป็นมิลลิกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (mg/m³)
  • ค่าก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO₂) หน่วยเป็นส่วนในล้านส่วน (ppm) หรือ mg/m³
  • ค่าก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจน (NOx) หน่วยเป็น ppm (โดยปกติหมายรวม NO และ NO₂)
  • ค่าก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) หน่วยเป็น ppm
  • ค่าก๊าซออกซิเจน (O₂) หน่วยเป็นเปอร์เซ็นต์ หรือ ppm
  • ค่าไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H₂S) หน่วยเป็น ppm (กรณีโรงงานที่มีกระบวนการก่อ H₂S เช่นโรงกลั่นน้ำมัน)
  • ค่าปรอท (Hg) หน่วยเป็น mg/m³ (กรณีโรงงานที่อาจปล่อยไอปรอท เช่นเตาเผาขยะ)
  • ค่าไฮโดรเจนคลอไรด์ (HCl) หน่วยเป็น mg/m³ (กรณีโรงงานขยะหรือกระบวนการที่มีคลอไรด์)
  • อัตราการไหลของไอเสีย หน่วยเป็นลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง (m³/hr)
  • อุณหภูมิของไอเสีย หน่วยเป็นองศาเซลเซียส (°C)

ทั้งนี้ ค่ามาตรฐาน ของมลพิษแต่ละชนิดจะอ้างอิงจากกฎหมายหรือข้อกำหนดของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่บังคับใช้ เช่น มาตรฐานการระบายอากาศเสียจากโรงไฟฟ้า, โรงปูนซีเมนต์ หรือจากเงื่อนไขในรายงาน EIA/IEE ของโรงงานแต่ละแห่ง ซึ่งอาจแตกต่างกันไป ตัวอย่างเช่น ค่าฝุ่นละอองจากปล่องโรงงานประเภทเตาเผาขยะอาจกำหนดไม่เกิน 120 mg/m³ ส่วนโรงไฟฟ้าอาจกำหนดไม่เกิน 100 mg/m³ เป็นต้น โรงงานต้อง ยึดถือค่ามาตรฐานที่เข้มงวดที่สุด ที่เกี่ยวข้องกับตนเองเพื่อควบคุมการปล่อยมลพิษ

การรายงานผลที่สภาวะมาตรฐาน

เพื่อให้ข้อมูลจาก CEMs ของทุกโรงงานสามารถเปรียบเทียบกับค่ามาตรฐานได้อย่างถูกต้อง การรายงานค่ามลพิษจะต้องปรับสู่สภาวะมาตรฐาน กล่าวคือ ปรับให้เทียบเท่ากับค่าที่วัดที่

  • ความดัน 1 บรรยากาศ (760 mmHg)
  • อุณหภูมิ 25°C
  • สภาวะแห้ง (ไม่มีความชื้น)
  • และที่สำคัญคือต้องอ้างอิงที่ปริมาณอากาศส่วนเกินในการเผาไหม้มาตรฐาน
    (Excess Air ~50% หรือปริมาณออกซิเจนในไอเสีย 7%)

ซึ่งเงื่อนไขส่วนนี้มีความจำเป็นเนื่องจากเครื่องวัดบางชนิดอาจติดตั้งก่อนระบบบำบัด หรือในสภาวะที่ต่างจากมาตรฐาน ทำให้ค่าที่วัดได้ต้องถูกแปลงกลับมาอยู่ที่สภาวะอ้างอิงเดียวกัน การรายงานค่าที่สภาวะมาตรฐานช่วยให้กรมโรงงานฯ สามารถตัดสินการปฏิบัติตามกฎหมายของโรงงานต่าง ๆ ได้อย่างยุติธรรมและแม่นยำ

การรับรองคุณภาพเครื่องมือและระบบ

ระบบ CEMS ถือเป็นเครื่องมือวัดสิ่งแวดล้อมที่ต้องการ ความแม่นยำและความน่าเชื่อถือสูง ดังนั้นเครื่องมือวัดก๊าซและฝุ่นที่นำมาติดตั้ง จะต้องผ่านการรับรองหรือมาตรฐานสากล เช่น US EPA (มาตรฐานของสหรัฐฯ) หรือมาตรฐานยุโรป (TÜV, MCERTS) ที่ยอมรับในวงการ เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถวัดค่าได้อย่างถูกต้องในช่วงความเข้มข้นที่ต้องการ โรงงานจำเป็นต้องจัดให้มีการสอบเทียบ (Calibration) เครื่องวัดเป็นระยะตามที่ผู้ผลิตแนะนำ และตรวจสอบความถูกต้องของการวัด (Accuracy Check) อย่างสม่ำเสมอ เช่น การทดสอบด้วยแก๊สมาตรฐาน หรือการสอบเทียบภาคสนาม โดยห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรอง การดำเนินการเหล่านี้จะช่วยลดความคลาดเคลื่อนของข้อมูลและป้องกันไม่ให้รายงานค่าที่ผิดพลาดไปยังกรมโรงงานฯ

ตำแหน่งการติดตั้งหัววัดบนปล่อง และ การออกแบบระบบ

ตำแหน่งในการติดตั้งฯ ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องเป็นไปตามข้อกำหนดเช่นกัน เช่น ตำแหน่งของหัววัดจะต้องอยู่บริเวณที่การไหลของก๊าซสม่ำเสมอ ไม่มีมุมอับ ไม่มีการหมุนวนของลม เพื่อให้ตัวอย่างที่ได้แทนค่าการปล่อยมลพิษทั้งหมดของปล่องจริง ๆ

ระบบท่อส่งตัวอย่างต้องใช้วัสดุที่ไม่ทำปฏิกิริยากับก๊าซที่วัด มีการควบคุมอุณหภูมิและความชื้นตลอดเส้นทางเพื่อป้องกันการควบแน่น หรือสูญเสียตัวอย่างก่อนถึงเครื่องวิเคราะห์

ตลอดจนต้องมี ระบบสำรองไฟฟ้า (UPS) หรือเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรองสำหรับอุปกรณ์ CEMs เพื่อให้มั่นใจว่าการตรวจวัดจะไม่หยุดชะงักเมื่อเกิดไฟฟ้าดับในโรงงาน

แนวทางปฏิบัติที่โรงงานต้องปฏิบัติตาม

โรงงานที่เข้าข่ายต้องติดตั้ง CEMs จะต้องปฏิบัติตามแนวทางของกรมโรงงานฯ ตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมการจนถึงการเดินระบบ ดังนี้:

เมื่อปฏิบัติตามขั้นตอนข้างต้นครบถ้วน โรงงานก็สามารถเดินระบบ CEMs เพื่อตรวจวัดและรายงานผลการระบายมลพิษได้อย่างถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด

การตรวจสอบ และกำกับดูแลโรงงาน

กรมโรงงานอุตสาหกรรม (รวมถึงสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด) มีบทบาทในการกำกับดูแลให้โรงงานปฏิบัติตามข้อกำหนด CEMs อย่างเคร่งครัด โดยเจ้าหน้าที่จะตรวจสอบทั้ง

  • ก่อนการติดตั้ง (ตรวจสอบแผนผังและตำแหน่งติดตั้งว่าเหมาะสม)
  • ระหว่างการติดตั้ง (ให้คำแนะนำทางเทคนิค) และ
  • หลังติดตั้ง (ตรวจสอบการทำงานและคุณภาพข้อมูลที่รายงานเข้ามา)

หากพบปัญหาเช่นเครื่องมือขัดข้องหรือข้อมูลขาดช่วง กรมโรงงานฯ จะประสานให้โรงงานอุตสาหกรรมแก้ไขทันที นอกจากนี้หากพบว่าโรงงานใดมีค่าการระบายมลพิษเกินค่ามาตรฐานอย่างต่อเนื่อง เจ้าหน้าที่สามารถเข้าตรวจสอบหน้างานเพื่อหาสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นความบกพร่องของระบบบำบัดมลพิษหรือการเดินเครื่องที่ไม่ถูกต้อง เพื่อสั่งการแก้ไขหรือดำเนินการทางกฎหมายต่อไป กรมโรงงานฯ ยังจัดการประชุมหารือกับกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ เป็นระยะ เช่น กลุ่มโรงงานน้ำตาลหรือเหล็ก เพื่อติดตามความคืบหน้าการติดตั้ง CEMs และรับฟังปัญหาอุปสรรค พร้อมทั้งย้ำมติหรือกำหนดเวลาที่โรงงานต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จตามที่กฎหมายกำหนด

สรุป บทบาทของกรมโรงงานฯ ในเรื่อง กฏหมาย CEMS 

กล่าวโดยสรุป กรมโรงงานอุตสาหกรรม มีบทบาททั้งเชิงรุกและเชิงรับในการกำกับดูแล CEMS คือ เชิงรุก ได้แก่ การออกข้อกำหนด หรือกฎหมาย CEMS กำหนดประเภทโรงงานที่ต้องติดตั้ง ระบบการรับส่งข้อมูล POMS และการมีส่วนร่วมของประชาชน เชิงรับ ได้แก่ การติดตามตรวจสอบข้อมูลที่รายงานเข้ามา การบังคับใช้กฎหมายกับผู้ที่ไม่ปฏิบัติตาม ตลอดจนการให้คำแนะนำช่วยเหลือโรงงานในการปรับตัว ซึ่งทั้งหมดนี้มีเป้าหมายสูงสุดเพื่อควบคุมการปล่อยมลพิษอากาศให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน

สนใจเพิ่มความปลอดภัยด้านสิ่งแวดล้อมให้กับโรงงานและธุรกิจของคุณ?
เราให้บริการติดตั้งระบบ CEMS สำหรับตรวจวัดคุณภาพมลพิษทางอากาศ เพื่อช่วยให้โรงงานของคุณ ผ่านเกณฑ์ของกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) อย่างถูกต้องและโปร่งใส

✅ ตัวแทนจำหน่ายระบบ CEMS แบรนด์ชั้นนำ Shimadzu
✅ ออกแบบและติดตั้งระบบตรวจวัด CEMs รองรับทุกโรงงานอุตสาหกรรม
✅ บริการให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน พร้อมรายงานคุณภาพน้ำย้อนหลัง

📞 ติดต่อทีมงานเพื่อวางระบบตรวจคุณภาพน้ำที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ!

ติดต่อฝ่ายขาย
Tel : 02-319-9994 ext.1
Line ID : @automationservice